วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

รวมสัตว์จิ๋วของโลก


1. ลิงที่มีขนาดเล็กที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลกนั้นก็คือ ”ลิงปิ๊กมี่ มาร์โมเสท” (Pygmy Marmoset) หรือเรียกง่ายๆว่า ลิงแคระมาร์โมเสท
เจ้าลิงเล็กจิ๋วตัวนี้ได้ฉายาว่าเป็นลิงที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก ด้วยลำตัวที่สูงเพียงแค่ 13 เซฯติเมตรเท่านั้น และมีน้ำหนักเพียง 130 กรัม ถ้าเทียบแล้วก็หนักประมาณผลแอพเปิ้ลเท่านั้นเอง ลิงแคระมาร์โมเสทเป็นสัตว์ที่มีถิ่นกำเหนิดอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ พบมากในแถบประเทศ บราซิล โคลัมเบีย เอกวาดอร์ เปรู และโบลิเวีย ด้วยความน่ารักและตัวเล็กจิ๋วทำให้ผู้คนบางกลุ่มนิยมนำมาเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงว่ากันว่าบางตัวราคาสูงถึงตังละ 1 แสนบาทกันเลยทีเดียว
2. สุนัขตัวเล็กที่สุดในโลก ( Smallest dog )
สุนัข ที่ สูงที่สุดในโลก
สุนัขที่ตัวเล็กที่สุดในโลกตัวนี้เป็นสุนัขจากสายพันธุ์ที่มีชื่อว่า ชิวาวา ( Chihuahua ) เป็นสุนัขที่มีสถิติตัวเล็กที่สุดในโลก โดยมันมีชื่อว่า Boo Boo บูบู้ ด้วยความสูงเพียง 10.16 เซ็นติเมตร เท่านั้น เจ้า Boo Boo เป็นสุนัขตัวเล็กที่สุดในโลก ในแง่ความสูง และเป็นเจ้าของสถิติของกินเน็สบุ๊คอีกด้วย ลานา เอ็สวีค ( Lana Elswick ) เจ้าของ บูบู้ กล่าว ว่าเมื่อแรกเกิด บูบู้ มีขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือของเธอเท่านั้น ว้าตัวเล็กจัเลยน่ะ อย่างนี้คงจะกินข้าวไม่เยอะแน่ๆเลย
3. งูที่เล็กที่สุดในโลก
งูที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลกนั้นเป็นเจ้าของสถิติความยาวเพียงแค่ 10.1เซนติเมตร หรือประมาณ 4นิ้ว เท่านั้น ว๊ากๆๆ มันเล็กมากๆเลยน่ะ เจ้างูตัวนี้ถูกเรียกว่า Leptotyphlops carlae คืองูที่สายพันธุ์เล็กที่สุดในโลก โดยค่าเฉลี่ยของงูชนิดนี้เมื่อโตเต็มวัยจะมีความยาวเพียง4นิ้วเท่านั้น และถูกค้นพบขึ้นบนเกาะ Caribbean Inland, Barbados โดยนาย Blair Hedges  เล็กมากๆ อะดูแล้วนึกว่าไส้เดือนซะอีก
4. จิ้งจกที่เล็กที่สุดในโลก

เจ้าจิ้งจกที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลกตัวนี้ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Sphaerodatylus ariasae ตัวของมันเล็กมากๆ เปรียบเทียบกับเหรียญแล้วยิ่งเล็กจริงๆ โดยมันมีขนาดความยาวเพียงแค่ 16มิลลิเมตร (0.6นิ้ว) เท่านั้น เล็กมากใช่มั้ยลองหยิบเอาไม้บรรทัดมาวัดดูว่า 0.6 นิ้วอะมันยาวแค่ไหน โดยเจ้าจิ้งจกสายพันธุ์นี้ถูกคนพบที่เกาะ British Virgin ในปี1965 
5. ม้าที่เล็กที่สุดในโลก
เจ้าม้าที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลกตัวนี้ มีชื่อว่า Thumbelina  โดยเกิดจากการฝีมือการผสมเทียมของ Paul และKay Goessling ผู้เชี่ยวชาญในการผสมพันธุ์ม้าพันธุ์เล็ก เจ้า Thumbelina เป็นเจ้าของสถิติม้าที่ตัวเล็กที่สุดในโลก โดยมีน้ำหนัก27.21กิโลกรัม และสูงเพียง 17 นิ้วเท่านั้น โถตัวเล็กขนาดนี้ ใครจะไปขี่ได้ละนั่น แต่ก็เป็นเรื่องที่แปลกดีเหมือนกันว่าคนเราผสมพันธุ์ม้าให้มีขนาดเล็กที่สุดเพื่อที่จะนำมาเลี้ยงแทนสุนัขหรือยอ่างไร
สัตว์ที่เล็กที่สุดในโลกตัวสุดท้ายของวันนี้ต้องบอกว่านับเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยเลยก็ว่าได้ที่เป็นเจ้าของสถิติตัวเล็กที่สุดในโลกตัวนี้ กับ ค้างคาวที่เล็กที่สุดในโลก
6. ค้างคาวที่เล็กที่สุดในโลก
รู้หรือไม่ว่าค้างคาวที่เล็กที่สุดในโลกนั้นอยู่ที่ประเทศไทย โดยค้างคาวชนิดนี้มัชื่อว่า ค้างคาวกิตติ Kitti’s Hog-nosed Bat  ที่ได้รับชื่อว่าค้างกิตติก็เพราะว่า มันถูกค้นพบโดยคุณคุณกิตติ ทองลงยา นักอนุกรมวิธานชาวไทย จึงได้รับการตั้งชื่อให้เป็นเกียรติแด่ผู้ค้นพบ สำหรับข้อมูลของเจ้าค้างคาวสายพันธุ์นี้มีดังนี้
ค้างคาวกิตติ Kitti’s Hog-nosed Bat (Craseonycteris thonglongyai) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก (โดยน้ำหนัก) โดยมีน้ำหนักตัวเฉลี่ยประมาณ 2 กรัม มีความยาวปีกเหยียด 2 ข้าง (wingspan) ประมาณ 15 ซม. ความยาวแขนช่วงข้อมือถึงข้อศอก (forearm) ประมาณ 25 มม. หน้ามีจุดเด่นที่จมูกขนาดใหญ่มองดูคล้ายจมูกหมู ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ “Hog-nosed Bat” ขนตามลำตัวค่อนข้างยาว สีขนมีทั้งที่เป็นสีเทา และสีน้ำตาล กินแมลงเป็นอาหาร โดยจะออกไปหากินนอกถ้ำเพียงวันละ 2 ครั้ง คือในตอนเช้าก่อนพระอาทิตย์ขึ้นประมาณครึ่งชั่วโมง และตอนเย็นหลังพระอาทิตย์ตกประมาณครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง และใช้เวลาถึงวันละประมาณ 23 ชั่วโมงอาศัยอยู่ในถ้ำ
ค้างคาวกิตติถูกค้นพบเป็นครั้งแรกที่ถ้ำวังพระในเขตอุทยานแห่งชาติไทรโยค ในปี พ.ศ. 2516 โดย คุณกิตติ ทองลงยา นักอนุกรมวิธานชาวไทย ซึ่งหลังจากได้มีการตรวจสอบและทบทวนเอกสารทางด้านอนุกรมวิธานแล้ว จึงได้รับการประกาศเป็นชนิดใหม่ของโลก (new species) ในปี พ.ศ. 2517 พร้อมๆ กับการประกาศยอมรับว่าเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก (โดยน้ำหนัก)
เมื่อเริ่มแรกที่มีการค้นพบค้างคาวกิตติ เชื่อกันว่าค้างคาวกิตติเป็นสัตว์ถิ่นเดียวมีการกระจายพันธุ์อยู่เฉพาะทางตะวันตกของประเทศไทย บริเวณจังหวัดกาญจนบุรี ต่อมาประมาณปี พ.ศ. 2544 มีการพบประชากรค้างคาวกิตติทางตะวันออกของประเทศพม่าด้วย โดยประชากรค้างคาวกิตติที่พบทั้งในไทยและพม่ามีรูปร่างลักษณะภายนอกเหมือนกัน แต่พบความแตกต่างกันในเรื่องของการใช้คลื่นเสียงในการนำทางหรือกำหนดทิศทาง (echolocation) ซึ่งต้องการการตรวจสอบอย่างละเอียดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของทั้งสองประชากรต่อไป
ค้างคาวกิตติมีลูกในช่วงฤดูแล้งระหว่างเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ออกลูกครั้งละ 1 ตัว ลูกจะอาศัยเกาะอกแม่ จนกระทั่งสามารถออกไปเกาะอยู่อิสระและบินออกไปหากินได้ด้วยตัวเอง ในขณะที่ลูกค้างคาวยังช่วยตัวเองไม่ได้และแม่ค้างคาวออกไปหากิน มันจะทิ้งลูกเกาะไว้ในถ้ำ
จากการสำรวจถ้ำในเขตจังหวัดกาญจนบุรี พบค้างคาวกิตติจำนวน 35 ถ้ำ ซึ่งส่วนใหญ่กระจายอยู่ในเขตอำเภอไทรโยคมากถึง 23 ถ้ำ (ประมาณ 66% จากจำนวนถ้ำทั้งหมดที่พบ) ส่วนที่เหลือพบในเขตอำเภอทองผาภูมิ ท่าม่วง และอำเภอเมือง จำนวน 7, 2 และ 3 ถ้ำ ตามลำดับ
สำหรับภัยคุกคามต่อประชากรค้างคาวกิตตินั้นมีทั้งการล่าค้างคาวโดยตรง และการใช้ประโยชน์ในถ้ำที่อยู่อาศัยของค้างคาวไม่ว่าจะเป็นการพักแรม การอยู่อาศัย การประกอบพิธีกรรม การท่องเที่ยว การเก็บ-ขุดปุ๋ยขี้ค้างคาว การขุดถ้ำ การสูบน้ำในถ้ำ ล้วนมีผลทำให้จำนวนประชากรและการปรากฏตัวของค้างคาวกิตติมีแนวโน้มลดลงเมื่อมีการรบกวนภายในถ้ำเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่รอบๆ ถ้ำ ก็เป็นอุปสรรคต่อการใช้พื้นที่หากิน เนื่องจากค้างคาวกิตติหลีกเลี่ยงการใช้พื้นที่บางลักษณะ เช่น พื้นที่โล่งกว้างอย่างไร่มันสำปะหลัง

ที่มา  http://www.xn--12c1bij4d1a0fza6gi5c.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น