วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

7สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ยุคโบราณ




7 สิ่งมหัศจรรย์ ของโลก ยุคโบราณ

1. The Great Pyramid of Giza
ตำแหน่งที่ตั้ง
ประเทศอียิปต์ตั้งอยู่ห่างจากกรุงไคโรเมืองหลวงของอียิปต์ปัจจุบันไปทางทิศใต้ประมาณ 2-3 กิโลเมตร กลางทะเลทราย ทางตะวันตกของแม่น้ำไนล์
ปัจจุบันสามารถเข้าเยี่ยมชมได้

มหาพีระมิดของกษัตริย์คูฟู ริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์ ห่างไปทางตอนใต้ของ เมืองอะเล็กซานเดรีย ประมาณ 160 กิโลเมตร ครอบคลุมเนื้อที่ 12 เอเคอร์ และมีอายุตั้งแต่สมัย 2,690 ปีก่อนคริสตกาล หรือเก่าแก่กว่านั้น
ซึ่งพีระมิดของกษัตริย์คูฟู สูงถึง 147 เมตรฐานกว้างด้านละ 230 เมตร ใช้หินก้อนละ 2 ตันครึ่ง บางก้อนหนักถึง 16 ตัน รวมใช้ก้อนหิน 2,300,000 ก้อน รวมน้ำหนักกว่า 6,000,000 ตัน มีการเตรียมการสร้างถึง 10 ปี ใช้แรงงานถึง 100,000 คน มาใช้แรงงานถึง 20 ปี เพื่อสร้างพีระมิด ดังกล่าวให้จนลุล่วง
จุดมุ่งหมาย ของสิ่งก่อสร้างนี้ ในเบื้องแรกก็เพื่อบรรจุพระศพของกษัตริย์อียิปต์พระนามคีออปส์

หรือ คูฟู ปัจจุบันส่วนยอดของพีระมิด ทรุดโทรมลง จนมีความสูงเพียง 137 เมตร

พีระมิดแห่งเมืองกิซามี 3 องค์คือ พีระมิดซีเฟรน พีระมิดไมเซอนิรุส แลพีิระมิดคีออปส์ 
ซึ่งพีิระมิดคีออปส์เป็นพีระมิดที่ใหญ่ที่สุด
2. The Hanging Gardens of Babylon


 ตำแหน่งที่ตั้งกลางทะเลทราย เมืองแบกแดด ริมฝั่งแม่น้ำยูเฟรติส ประเทศอิรัก
ปัจจุบัน ทั้งสวนและผนังดังกล่าวทรุดโทรมจนแทบไม่เหลือซากแล้ว
รายละเอียด
สวนลอย หรือ สวนสวรรค์แห่งเมืองบาบิโลนนี้ กินเนื้อที่ 4 เอเคอร์สร้างขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. 63 โดยพระเจ้าเนบูคาดเนสซาร์ที่ 2 กษัตริย์แห่งเปอร์เซีย หลังจากการพิชิตปราบปรามเมืองใกล้เคียงมาอยู่ในอำนาจ แล้วก็กวาดต้อนประชาชนพลเมืองมาใช้เป็นทาสให้สร้างสวนสวรรค์นี้ขึ้นบนทะเลทราย มีกำแพงดินกั้นล้อมรอบและประกอบด้วยลานกว้างๆ เป็น หลาย ๆ ส่วนบนพื้นที่โค้ง
มีความสูงมากและปลูกต้นไม้ ดอกไม้สีสันสดใสสร้างสระน้ำสีต่างๆ ทำน้ำตก น้ำพุ โดยทำท่อทดเอาน้ำมาจากแม่น้ำยูเฟตีส สวนแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประพาส หย่อนพระทัยของพระมเหสี เซมีรามีส

 3. The Statue of Zeus at Olympia
ตำแหน่งที่ตั้ง

เมืองโอลิมเปีย ประเทศกรีซ
ปัจจุบันไม่หลงเหลืออยู่แล้ว

ซุส สร้างขึ้นในปี ค.ศ.53-111 ซึ่งชาวโรมันเรียกว่า จูปีเตอร์ เป็นเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวกรีกโบราณนับถือมากและเคารพสักการะบูชามาก เทวรูปซีอุสแกะสลักด้วยงาช้างจำนวนมากประกอบกันขึ้นมีขนาดสูง 58 ฟุต เป็นรูปเทพเจ้านั่งบนบัลลังก์สีทอง พระหัตถ์ซ้ายทรงคธา 
พระหัตถ์ขวารองรับรูปปั้นแห่งชัยชนะ มีเครื่องประดับด้วยทองคำล้วน
อาจพังทลายเพราะ แผ่นดินไหว ในศตวรรษที่ 6 แห่งคริสตกาล ต่อมาถูกขนย้ายไปยัง กรุงคอนสแตนติโนเปิล และสุดท้ายถูกไฟไหม้เสียาย


        ชาวโรมันเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า จูปีเตอร์ ชาวกรีกได้เรียกเทวรูปนี้ว่า ซุส ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ว่าเป็นผู้นำแห่งเทพเจ้า 
ชาวกรีกนับถื่อมากที่สุดในยุคนั้น ใครจะออกเดินทางไปเมืองใดต้องมาพรจากพระองค์เสียก่อน
        แต่บัดนี้ไม่มีหลักฐานให็เป็นที่ชมได้เพราะได้ถูกไฟเผาไหม้หมดทั้งองค์ในปี ค.ศ. 476 คงเห็นภาพในเหรียญ ตราโบราณ 
และจากจินตนาการที่ได้มาจากคำบอกเล่า หรือ นิยายปรัมปราเท่านั้น แต่ความงาม ความใหญ่โตศักดิสิทธิ์ ยังคงเป็นที่ยกย่องเล่าลือมาจนถึงปัจจุบันนี้ 
4. The temple of Artemis at Ephesus
ตำแหน่งที่ตั้งเมืองเอเฟซุส ประเทศกรีซ
ปัจจุบันยังมีซากหลงเหลืออยู่บ้าง
ไม่มีหลักฐานปรากฏว่าสร้างขึ้นเมื่อใด แต่ได้บูรณะซ่อมแซมในปี ค.ศ.186 เพราะถูกไฟไหม้ มหาวิหารเดียนา มีเนื้อที่กว้าง 54,720 ตารางฟุต ตัววิหารกว้าง 160 ฟุต ยาว 342 ฟุต มีเสาหินอ่อนด้านละ 20 ต้น ด้านหน้าด้านหลัง 8 ต้น แต่ละต้นมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 6 ฟุต สูง 60 ฟุต หลังคามุงกระเบื้องหินอ่อน เป็นวิหารที่สวยที่สุดในสมัยนั้น 
มหาวิหารเดียนา สร้างขึ้นเพื่อถวายเทพเจ้าอาร์เทมิส ผู้เสด็จมาจากสวรรค์ ได้ช่วยกู้ความหายนะของเมืองไว้ ได้ถึง 2 ครั้ง
ถูกทำลายโดยพวกโกธ จากเยอรมัน ที่บุกเข้ามาโจมตี เมื่อ ค.ศ. 262


5. The Mausoleum of Maussollos at Halicarnassus
ตำแหน่งที่ตั้ง เมืองฮาลคาร์นาซซัส ประเทศตุรกี




ปัจจุบันยังมีซากหลงเหลือ

สุสานของกษัตริย์โมโซรุสหรือที่เก็บศพโมโซรุสเป็นสถานที่เก็บ หรือ
ฝังศพของพระเจ้าโมโซรุส กษัตริย์แห่ง เอเชียไมเนอร์ ปัจจบันคือ เปอร์เซีย
ซึ่งพระนางอาเตมีเซีย ราชินีได้ขึ้นครองราชย์ ต่อจากพระราชสวามีได้เป็นผู้สร้างขึ้น ที่เมืองซาเรีย (ปัจจุบันคือ เมืองฮาลคาร์นาซซัส )

โดยใช้ช่างออกแบบ ฟิดิอัส ซาติรัสบรายอาซีส สโคปาส ทิโมทิอัส ที่มีชื่อเสียง ฝีมือเยี่ยมในกรีซ
ทั้งหมดมาช่วยกันสร้างด้วยหินอ่อน แต่ยังไม่ทันสร้างเสร็จพระนางก็สิ้นพระชนม์เสียก่อน เมื่อ 353 ปีก่อนคริสตกาล

มีความสูง 43 เมตร บนยอดมีรูปปั้นโมโซรุส ประทับบนราชรถเทียมด้วยม้าทั้งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่เก็บศพพระราชสวามีของ
พระนางแต่เพียงอย่างเดียวซึ่งนับว่าเป็นสุสานที่ใหญ่โตพิศดาร และสูงที่สุดในโลกอาจจะทรุดพังเพราะแผ่นดินไหว


 6. The Colossus of Rhodes

ตำแหน่งที่ตั้งเกาะโรดส์ ประเทศกรีซ
ปัจจุบันไม่หลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน
เทวรูปโคโลสซูส เป็นเทพเจ้าที่ชาวกรีกเคารพนับถือมาก ซึ่งกษัตริย์ชาเรสแห่งลินดัส สร้างขึ้นเมื่อ 280 ปี ก่อนคริสต์กาล
 เทวรูปนี้หล่อด้วยทองสำริดในท่ายืนสูง 100 ฟุต มือขวาถือประทีป เทวรูปตั้งอยู่บนฐานทั้งสองข้างของปากอ่าว 
องค์เทวรูปยืนถ่างขาคร่อมปากอ่าวให้เรือลอดไปมาได้ เทวรูปโคโลสซูส หรือเทพเจ้าอพอลโป ประดิษฐานอยู่บนเกาะโรดส์ ประเทศกรีซ
 และเมื่อ 224 ปี ก่อนคริสต์กาล เกิดแผ่นดินไหว เทวรูปจึงพลังลงมา ไม่มีใครดูแลเอาใจใส่ 
จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 10 ซากทองเหลืองที่เหลืออยู่จึงถูกขายให้แก่ชาวเมือง ซาราเชนส์ ไปทำอาวุธในการทำสงครามจนหมด
 ปัจจุบันสิ่งมหัศจรรย์ชิ้นนี้ได้สูญสลายไปหมดแล้ว

 7. The Lighthouse of Alexandria
ตำแหน่งที่ตั้ง
เกาะฟาโรส เมืองอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์
ปัจจุบันไม่หลงเหลืออยู่แล้ว
กระโจมไฟฟาโรส หรือ ประภาคารฟาโรส อันยิ่งใหญ่นี้ พระเจ้าปโตเลมีฟิลาเดลฟัส กษัตริย์แห่งประเทศอียิปต์ 
เป็นผู้สร้างขึ้นด้วยหินอ่อนสลักลวดลายวิจิตรงดงาม อยู่บนเกาะฟาโรส ที่อ่าวหน้าเมืองอเล็กซานเดรีย ประมาณ 271 ปีก่อนคริสตกาล 
สร้างขึ้นเพื่อ เป็นสัญลักษณ์ที่สังเกตเห็นแก่หมู่เรือทั้งหลาย ที่ไปมาติดต่อค้าขาย
ในการเข้าไปยังเมืองท่า ซึ่งครั้งนั้นอียิปต์ เป็นประเทศที่เจริญในวิทยาการต่างๆ
ใครๆ ก็ชอบติดต่อเหตุนี้จึงต้องสร้างประภาคารขึ้นจุดตะเกียงแก๊สตลอดทั้งคืน
เพื่อให้ผู้ที่ไม่เคยเดินเรือใช้เป็นที่สังเกตจะได้ไม่หลงและนอกจากนั้นแล้ว
ยังใช้เป็นหอคอยไว้ดูข้าศึกที่จะมารุกรานอีกด้วยเพราะกระโจมนี้สูงถึง 180 เมตร
หลังจากเกิดแผ่นดินไหว อาคารนี้ก็พังทลายลงมาตั้งแต่ ค.ศ. 955
และถูกทำลายโดยสมบูรณ์ในช่วงศตวรรษที่ 14
ที่มา http://board.postjung.com/534730.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น